เปิดเบื้องลึกท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี | เรื่องจริงที่อาจนำเธอกลับสู่ตำหนักอีกครั้ง?
ไม่ใช่ทุกกรงทองจะปลอดภัยและไม่ใช่ทุกความงามจะมีอิสระณช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์ร่วมสมัยไทยชื่อของศรีรัตน์สูดีกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสวยสง่าและลึกลับเธอไม่ได้เป็นเพียงผู้หญิงที่อยู่เคียงข้างรัชทายาทแต่คือภาพจำของหญิงสาวผู้ได้รับพรหมลิขิตที่หลายคนคิดว่าโชคดีจากหญิงธรรมดาในครอบครัวสามัญสู่ชีวิตในรั้ววังที่เต็มไปด้วยกล้องถ่ายภาพสื่อและสายตาสาธารณะเธอปรากฏในงานพิธีด้วยรอยยิ้มและเครื่องแต่งกายเลอค่าพร้อมด้วยคำ
เรียกขานที่เปลี่ยนไปเพราะวรชายาแต่สิ่งที่โลกภายนอกเห็นคือเพียงฉากหน้าแวววาวของบทละครที่ซ่อนเบื้องหลังไว้ลึกความงามของเธอกลับกลายเป็นหน้าต่างจำกัดเสรีภาพที่คนจำนวนมากมองผ่านแต่ไม่เคยมองเข้าไปสื่อมวลชนในยุคนั้นพูดถึงเธออย่างสวยดุจราชินีผู้หญิงธรรมดาผู้โชคดีนางรองผู้พิชะตาแต่ไม่ใช่คำใดที่กล่าวถึงความสามารถหรือหัวใจของเธอเลยหลายคนตั้งคำถามว่าเธอเหมาะสมหรือไม่กับบทบาทในรั้ววังกับเครื่องเพชรที่คล้องอยู่บนคอบางเสียง
เปรียบเธอเป็นดอกไม้แปลกหน้าในสวนหลวงบางเสียงก็กล่าวว่าเธอเป็นเพียงภาพลวงตาแห่งความรักไม่มีใครรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรในวันที่เธอต้องยืนท่ามกลางคำชมที่แฝงคำพิพากษาในวังหลวงไม่ใช่ทุกอย่างคือแสงไฟและเสียงปรบมือแต่เป็นพิธีการที่แม้แต่รอยยิ้มก็ต้องผ่านการฝึกศรีรัตน์ไม่ได้เป็นเพียงภรรยาเธอคือสตรีในระบบราชสำนักที่มีกฎเกณฑ์มากกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจและภายใต้กรอบของตำแหน่งเธอถูกส่องไฟตลอดเวลาแต่ไม่มีสิทธิ์ตอบกลับพูดมากไปก็ผิดพูดน้อย
ไปก็ห่างเหินแม้แต่การก้าวเดินก็อาจกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งในวันรุ่งขึ้นนั่นคือกรงทองคำสวยหรูแต่มีกุญแจล็อคจากความคาดหวังของคนทั้งประเทศเราไม่มีบันทึกความรู้สึกจริงๆจากเธอในยุคนั้นไม่มีการให้สัมภาษณ์ไม่มีคำชี้แจงไม่มีเรื่องเล่าสิ่งที่เธอทิ้งไว้ให้เราคือภาพและความเงียบแต่ในความเงียบนี้เองผู้หญิงธรรมดาที่ถูกผลักดันให้รับบทชีวิตสุดขั้วกลับเรียนรู้ที่จะยิ้มให้สื่อเดินอย่างสงบในพายุของสายตาและเงียบอย่างสง่างามเพราเธอรู้ดีว่าในโลกที่เสียงของผู้หญิงมักไม่ถูกรับฟังความเงียบที่มีสติบางครั้งก็เปล่งพลังได้มากกว่าคำพูดกรงทองคำไม่ได้หมายถึงชีวิตที่สบายแต่มันคือคุกของความคาดหวังความเปราะบางยอมรับและภายใต้เปลือกนอกแห่งความหรูหราศรีรัตน์เริ่มต้นบทบาทที่ไม่มีใครสอนบทบาทของผู้หญิงที่ถูกมองผ่านจงอย่าประเมินค่าความเงียบต่ำเกินไปเพราะบางครั้งมันคือเสียงร้องที่ดังที่สุดเมื่อสื่อเลิกพูดถึงความงามและผู้คนเริ่มหันไปสนใจเขาศรีรัตน์กราบยังคง
ยืนอยู่แม้ในวันที่ทุกอย่างรอบตัวพังทลายจากผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ข้างเจ้าฟ้ากลายเป็นหญิงสามัญที่ต้องเผชิญกับเสียงวิจารณ์อันหนักหน่วงไม่ใช่ด้วยการตอบโต้ไม่ใช่ด้วยน้ำตาแต่ด้วยความเงียบที่เปล่งพลังลังยิ่งกว่าเสียงตะโกนใดไม่มีใครเตรียมเธอให้พร้อมกับการเปลี่ยนสถานะฉับพลันจากพระวรชายากลายเป็นเพียงชื่อศรีรัตน์สุวดีไม่มีพิธีอำลาไม่มีคำแถลงไม่มีความเห็นมีเพียงข่าวสารที่ถูกปล่อยออกมาเหมือนคำพิพากษาจากศาลที่ไม่มี
สิทธิ์อุทธรณ์เธอสูญเสียตำแหน่งสูญเสียภาพลักษณ์สูญเสียแม้แต่สิทธิ์ในการใช้คำว่าแม่ต่อหน้าสาธารณะนักแต่ในความสูญเสียนั้นเธอไม่เคยสูญเสียศักดิ์ศรีและความเงียบสงบที่เธอเลือกหลังจากหายไปจากสื่อศรีรัตน์ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลยต่อหน้าสาธารณะไม่มีภาพถ่ายไม่มีบทสัมภาษณ์ไม่มีรอยยิ้มที่ถูกบังคับแต่สิ่งหนึ่งที่เรารับรู้ได้คือเธอยังมีชีวิตอยู่และเธอเลือกใช้ชีวิตเงียบๆในพื้นที่เล็กๆที่ปราศจากสายตาโลกพื้นที่ที่เธออาจจะได้
เป็นตัวเองครั้งแรกในรอบหลายสิบปีไม่มีเสียงบ่นไม่มีการปกป้องตนเองมีแต่ความเข้าใจลึกๆว่าบางเรื่องการยอมรับมันเงียบๆคือการเข้มแข็งที่สุดแล้วสังคมมักเข้าใจผิดว่าผู้หญิงที่ไม่ตอบโต้คือผู้หญิงอ่อนแอแต่ในกรณีของศรีรัตน์เธอเลือกที่จะไม่สู้กลับด้วยเสียงแต่สู้ต่อด้วยการมีชีวิตอยู่ต่อไปลองนึกภาพดูหากเป็นเราที่ต้องสูญเสียทั้งชื่อเสียงความรักลูกและความหมายของชีวิตจะมีสักกี่คนที่ยังยืนอยู่ได้โดยไม่ล้มลงในปรัชญาสตอิโบราณมีคำ
กล่าวว่าเราควบคุมสิ่งภายนอกไม่ได้แต่เราควบคุมวิธีตอบสนองได้เสมอศรีรัตน์อาจเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของคำกล่าวนี้เธอไม่อาจควบคุมสื่อไม่อาจควบคุมสังคมแต่เธอควบคุมจิตใจตนเองได้อย่างน่าอัศจรรย์ภายใต้เงามืดของการถูกกลมศรีรัตน์ไม่เคยตะโกนเรียกร้องความเห็นใจแต่เลือกใช้การมีอยู่ของเธอเป็นคำตอบในตัวมันเองในโลกที่เสียงดังหมักได้พื้นที่ผู้หญิงคนนี้เลือกความเงียบและมันกลับดังก้องในใจผู้คนยิ่งกว่าใครพลังแท้จริงไม่จำเป็นต้อง
แสดงให้เห็นแต่รู้สึกได้เมื่อเราหายไปในยุคที่เรื่องราวของเธอครองหน้า1หนังสือพิมพ์หลายคนเชื่อว่าศรีรัตน์เป็นเพียงภาพลักษณ์หญิงสาวผู้อยู่ข้างเจ้าฟ้างดงามตามแบบฉบับผู้หญิงในวังและเพียงเท่านั้นแต่สิ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงคือบทบาทเบื้องหลังที่ไม่มีใครให้เครดิตงานเล็กงานเงียบงานที่ไม่ออกข่าวแต่นำพาความเปลี่ยนแปลงในระดับจิตวิญญาณของผู้คนในช่วงเวลาที่เธอยังมีตำแหน่งศรีรัตน์เคยเกี่ยวข้องกับกิจกรรมหลายด้านตั้งแต่การส่งเสริมเด็ก
ด้วยโอกาสการสนับสนับสนุนโครงการศึกษาทางไกลไปจนถึงการปลูกฝังคุณธรรมผ่านโครงการเฉพาะกลุ่มในชนบทไม่ใช่บทบาทพิธีการบนเวทีใหญ่แต่คือการนั่งกับแม่บ้านเกษตรกรการจับมือกับเด็กในพื้นที่ห่างไกลการพูดคุยแบบเรียบง่ายกับคนธรรมดาในชุมชนสิ่งเหล่านี้ไม่มีภาพแฟรดไม่มีการประกาศเกียรติแต่คนที่อยู่ตรงนั้นจำได้แม้เธอจะไม่มีตำแหน่งใดทางการเมืองและไม่ใช่พระราชินีตามราชโองการแต่ในช่วงเวลาหนึ่งเธอเป็นแรงบันดาลใจเงียบๆให้กับผู้หญิงไทย
จำนวนมากผู้หญิงที่เคยรู้สึกว่าการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงส่งต้องมาจากเชื้อสายเริ่มมีความหวังว่าความดีและการศึกษาก็อาจเปลี่ยนชะตาได้เธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างเป็นทางการแต่เปลี่ยนมุมมองของผู้หญิงเกี่ยวกับคุณค่าในตัวเองเพราะเมื่อข่าวของเธอหายไปบางคนกลับเริ่มคิดถึงความสงบในแว้วตานั้นบางคนยังจำคำพูดอ่อนโยนของเธอในพื้นที่ห่างไกลบางคนเริ่มตั้งคำถามว่าเราเคยมองเธออย่างไม่ยุติธรรมไปหรือเปล่าและบางคนเริ่มมองย้อ
กลับมาเข้าใจว่าศรีรัตน์เคยให้บางสิ่งกับประเทศนี้แม้จะไม่มีใครจารึกชื่อเธอไว้ในแผ่นหญินเธอไม่เคยแก้ต่างให้ตัวเองไม่เคยออกมาบอกเล่าว่าเคยทำอะไรไว้บ้างไม่เคยเรียกร้องให้คนหันกลับมามองใหม่แต่สิ่งที่เธอไม่ได้พูดกลับกลายเป็นเสียงสะท้อนที่ดังกว่าใครในวันที่ทุกคนเริ่มถามหาความจริงในปรัชญาตะวันออกมีคำกล่าวว่าเมื่อมนุษย์คนหนึ่งหายไปจากสืบแต่ไม่หายไปจากใจผู้คนนั่นคือความยิ่งใหญ่แบบเงียบงันและนั่นอาจเป็นบทบาทที่แท้จริของศรีรัตน์ตลอดมาไม่มีความสำเร็จใดที่วัดได้จากพาดหัวข่าวไม่มีเกียรติเกียรติยศใดที่ยั่งยืนเพียงเพราะตำแหน่งสิ่งที่ศรีรัตน์ทิ้งไว้คือมรดกทางความรู้สึกที่ยังส่งต่อแรงบันดาลใจแม้จะไม่มีชื่อเธอในบันทึกทางการแสงสว่างบางดวงไม่ได้ส่องจากภายนอกแต่มาจากภายในใจที่ไม่ดับลงหลังจากหายไปจากพื้นที่สาธารณะศรีรัตน์กลายเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงน้อยลงในสื่อไม่มีภาพถ่ายไม่มีข่าวสารไม่มีการปรากฏตัวแต่การหายไปนั้นกลับทำให้ค้น
จำนวนมากเริ่มมองเธอใหม่ด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิมชีวิตหลังราชสำนักของศรีรัตน์เต็มไปด้วยความเงียบที่หนักแน่นเธอไม่ได้ตอบโต้ความเข้าใจผิดไม่ได้แสดงความเจ็บปวดผ่านการแถลงข่าวไม่ได้กลับมาเรียกร้องตำแหน่งหรือโอกาสในอดีตแต่ทุกความเคลื่อนไหวของเธอหรือแม้แต่ความไม่เคลื่อนไหวกลับถูกสังคมจับตาด้วยความรู้สึกค้างคาใจบางอย่างเพราะผู้หญิงคนนี้ไม่เคยพูดแต่กลับสื่อสารได้มากกว่าผู้หญิงคนไหนในโลกของซือยุคใหม่การเงียบคือการหายไป

