สะเทือนวงการสีกากี! ผบ.ตร. สั่งปลดฟ้าผ่า วิระชัย ออกจากราชการ หลังกระทำผิดวินัยร้ายแรง
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีรายงานว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ลงนามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 439/2568 เรื่อง ลงโทษปลด พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา อดีตรอง ผบ.ตร. ออกจากราชการ โดยมีใจความว่า ด้วย พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา (เกษียณอายุราชการ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565) ดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกกล่าวหา มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 383/2563 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 568/2563 ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2563


ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาได้ลักลอบบันทึกเสียงสนทนา โดยที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ไม่ทราบ และไม่ได้ให้ความยินยอมในการบันทึกเสียงสนทนาดังกล่าวแต่อย่างใด โดยผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าสาเหตุที่ได้ทำการบันทึกเสียงสนทนานั้น เนื่องจากเห็นว่าข้อสั่งการของผบ.ตร.เป็นข้อสั่งการที่สำคัญและเป็นข้อสั่งการที่ชอบด้วยระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงได้บันทึกเอาไว้เพื่อจุดประสงค์ในการฟังทบทวนคำสั่งไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการปฏิบัติและเพื่อให้ได้ความสมบูรณ์ครบถ้วนและเข้าใจได้อย่างถูกต้องในการรับคำสั่ง
หลังจากนั้นได้มีสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ทั้งที่ปรากฏทางโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ ตลอดจนสื่อสังคมออนไลน์ นำคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวเปิดเผยเช่นเดียวกัน โดยมีลักษณะการนำเสนอในทำนองว่าผบ.ตร.สั่งการให้ผู้ถูกกล่าวหายุติการสืบสวนสอบสวนหรือสั่งการไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ส่งผลให้เกิดวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมทวีความรุนแรงและแพร่หลายมากยิ่งขึ้น จนเป็นกระแสหลักในการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ในขณะนั้น
การที่ผู้ถูกกล่าวหาในฐานะผู้รักษาราชการแทนผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนดังกล่าว ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดของประชาชนโดยทั่วไปที่ได้รับข้อมูลข่าวสาร จนเป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม เกลียดชัง อันเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ ทำให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างข้าราชการตำรวจ
ทั้งก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างร้ายแรง และการที่ผู้ถูกกล่าวหาลักลอบบันทึกเสียงสนทนาระหว่างผู้ถูกกล่าวหากับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ซึ่งขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งผบ.ตร. เป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาโดยตรง และเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วมีสื่อมวลชนนำบันทึกเสียงดังกล่าวออกเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ ซึ่งไม่ว่าผู้ถูกกล่าวหาจะเป็นผู้เผยแพร่บันทึกเสียงดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม แต่ด้วยเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าว
ผู้ถูกกล่าวหาย่อมตระหนักดีและย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าการส่งต่อบันทึกเสียงสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์สามารถกระทำได้โดยง่าย และเผยแพร่ทางสื่อมวลชนตลอดจนบุคคลทั่วไปในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว ไม่สามารถควบคุมได้ และจะส่งผลเสียหายต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องและสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้
เป็นการทำให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างข้าราชการตำรวจอันส่งผลโดยตรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นเหตุให้ราชการเสียหายอย่างร้ายแรง และทำให้บุคคลทั่วไปที่ได้รับทราบข้อมูลจากการเสนอข่าว แสดงความคิดเห็นต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในลักษณะดูหมิ่น เหยียดหยาม เกลียดชัง อันเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่งหน้าที่ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์และนำความเสื่อมเสียมาสู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างร้ายแรง

คณะกรรมการพิจารณาเพื่อเสนอแนะการลงโทษตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 125 วรรคสอง พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 ที่ประชุมมีมติเห็นควรลงโทษปลดพล.ต.อ.วิระชัย ออกจากราชการ
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 105 มาตรา 125 มาตรา 179 และมาตรา 180 แห่งพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยวันออกจากราชการของข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2547 ข้อ 6 (3) จึงให้ลงโทษปลด พล.ต.อ.วิระชัย ออกจากราชการ ทั้งนี้ แต่วันที่ 30 ก.ย.2565 ซึ่งเป็นวันสิ้นถึงประมาณและผู้นั้นมีอายุครบ 60 ปี บริบูรณ์
อนึ่ง หากผู้ถูกลงโทษประสงค์จะอุทธรณ์คำสั่งนี้ ให้ยื่นอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่ง และหากประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่งหรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครองหรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือ ภายใน 90 วัน นับแต่วันพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์
